เคยมีใครบอกกับคุณไหม ว่าการทำสิ่งใดที่ไม่ดีนั้นเวลาโดนเองมันมักจะหนักหน่วงกว่าเสมอ อันที่จริงผมเองก็ไม่เคยเชื่อเลยด้วยซ้ำกับคำพูดเหล่านั้น จนกระทั่งถึงวันนี้..
วันที่ความเลวร้ายทุกอย่างกำลังเล่นงานผมอย่างหนัก มันกัดกินและหลอกหลอนผมเหมือนกับฝันร้ายยามค่ำคืน และใช่..เพราะผู้ชายคนนั้น ผู้ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม
“ทำไม อยากจะหนีกูอีกหรือไง”
“….”
“กูจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้มึงหนีไปไกลสุดขอบโลก กูก็จะตามล่ามึงกลับมาที่นี่อยู่ดี”
“….”
“มารับกรรมที่มึงทำเอาไว้ซะ เดวินท์”
ทว่าพอผมคิดที่จะเอาคืนและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองบ้าง ทำไมมันถึงได้ยากลำบากซะเหลือเกิน มันยากเสียจนผมรู้สึกสิ้นหวังกับหนทางที่รอคอยอยู่ตรงหน้า
“กูอยากให้มึงรู้จริงๆ ว่าการถูกบังคับให้ทำมันรู้สึกอย่างไร”
“...”
“อยากให้มึงรู้ฉิบหาย ว่าการที่มึงเหยียบย้ำ แล้วยัดเยียดความโสโครกให้กูมันเป็นเช่นไร”
คำพูดเหยียดหยามและการกระทำแสนต่ำทรามกดข่มให้จำต้องจนมุม ย้ำเตือนและฝังลึกลงไปในจิตใจว่าตัวเขานั้นไร้หนทางสู้
“ขยะ”
.
.
“มึงเป็นกรรมสิทธิ์ของกู ถ้ากูไม่อนุญาตให้มึงไป มึงก็ไม่มีสิทธิ์ไป”
แต่ถึงอย่างนั้นตัวผมก็ยังเผลอใจให้ชายใจร้ายในคราบสุภาพบุรุษผู้แสนดีของทุกคน พลั้งเผลอไปแบบไม่ได้ตั้งใจ จนจดจำได้ทุกสัมผัสที่ใครอีกคนมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นอ้อมกอด รอยแผล หรือความอ่อนโยนที่มีให้เป็นครั้งคราว โดยมีเดิมพันเป็นหัวใจที่แหลกละเอียด
“กูรักมึงนะ”
หากให้เปรียบ ‘มัน’ ตัวผมคงยกให้มันเป็นปีศาจร้ายที่มองผมเป็นแค่เหยื่อไร้ชีวิต